การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการมีฝุ่น PM2.5ค่ะ เรามาทำความรู้จักกันให้มากขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในข้อดีของนมแม่ด้วยกันนะคะ
PM หรือ Particulate Matter เป็นคำเรียกค่ามาตรฐานของฝุ่นขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของทาง United state Environmental Protection Agency ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ค่า ตามขนาดของฝุ่นเป็นหน่วยไมครอน ได้แก่ PM 10 และ PM 2.5 โดยฝุ่น PM 2.5 จะมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ด้วยขนาดที่เล็กมากของ PM 2.5 จึงทำให้เมื่อสูดเข้าไป จะลงไปสู่ทางเดินหายใจส่วนล่างได้และสามารถถูกดูดซึมไปทั่วร่างกายโดยผ่านผนังถุงลมและเส้นเลือดฝอย เข้าสู่กระแสเลือด
แหล่งกำเนิดของ PM 2.5 ได้แก่ ควันเสียจากการเผาไหม้ของรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ดีเซลที่การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ควันไฟจากการเผาเศษวัสดุเหลือใช้ของภาคการเกษตรเพื่อเตรียมการเพาะปลูก การเผาป่าและการเผาขยะ และการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล หรือเชื้อเพลิงที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากโรงงานอุตสาหกรรม
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝุ่น PM 2.5 ปกคลุมหนาแน่นเป็นพิเศษในบางฤดูกาลคือสภาพภูมิอากาศในช่วงที่ลมสงบนิ่ง มลภาวะต่างๆและแก๊สพิษจะถูกสะสมเอาไว้ในชั้นบรรยากาศ จึงทำให้เห็นสภาพอากาศมีลักษณะเป็นหมอกควัน (smog) ในช่วงดังกล่าว
ค่ามาตรฐานที่เหมาะสมของ PM 2.5
มีการกำหนดค่ามาตรฐานที่เหมาะสมระดับ PM 2.5 ในอากาศ โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำคือ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรสำหรับค่าเฉลี่ยใน 24 ชั่วโมง ประเทศไทยระดับที่กรมควบคุมมลพิษแนะนำ คือ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรสำหรับค่าเฉลี่ยใน 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ใหญ่ที่สุขภาพปกติ ระดับของ PM 2.5 ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพของกรมควบคุมมลพิษ คือ มากกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หากค่ามากกว่า 90 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรจะถือว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพ แต่ระดับของ PM 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพในเด็กจากแถลงการณ์ของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย อ้างอิงตามระดับของกรมควบคุมมลพิษ จะต่ำกว่านั้น คือ มากกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในเด็กปกติ และ มากกว่า 37 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในเด็กที่มีโรคปอด หอบหืด จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคหัวใจ
ผลกระทบที่มีต่อสุขภาพจาก PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน
การอยู่ในบริเวณที่มี PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน มีผลต่อทางระบบทางเดินหายใจและระบบอื่นๆ ของร่างกาย โดยเกิดภาวะ oxidative stress ก่อให้เกิดการอักเสบได้ทั่วร่างกาย ก่อให้เกิดผลเสียตามมา ดังนี้
1. ระบบทางเดินหายใจ
เมื่อสูดหายใจเอา PM 2.5 สูงเกินมาตรฐานจะทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจทั้งในระยะเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยจะทำให้มีอาการแสบจมูก แน่นจมูก ในผู้ที่มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ก็จะเกิดอาการกำเริบ นอกจากนี้ยังทำให้มีอาการของโรคระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง มีอาการไอมากและหายใจหอบเหนื่อย โรคหืด โรคถุงลมโป่งพองกำเริบ หากได้รับ PM 2.5 ในค่าสูงต่อเนื่อง ก็จะเกิดผลเสียต่อการทำงานของปอดและหลอดลมทำให้สมรรถภาพการทำงานของปอดลดลง หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง หากได้รับในปริมาณมากเป็นเวลานานจะสะสมอยู่ในปอดเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปอดได้
2. ระบบอื่นๆ ในร่างกาย
เมื่อได้รับ PM 2.5 เข้าสู่ร่างกาย ก็จะผ่านเส้นเลือดฝอยเข้าสู่กระแสเลือดจึงสามารถกระจายตัวไปทำอันตรายกับอวัยวะต่างๆของร่างกาย ระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดก็จะเกิดอาการกำเริบขึ้นมาได้ อีกทั้งยังมีผลต่อการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกายจึงทำให้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้และโรคระบบทางเดินหายใจมีอาการกำเริบขึ้นได้ หากมีการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจก็อาจจะมีอาการรุนแรงกว่าปกติได้
ผลกระทบของ PM 2.5 ต่อเด็ก
หากมารดาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต้องสัมผัสกับ PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ก็จะเพิ่มความเสี่ยงที่ทารกจะเกิดก่อนกำหนด มีการเจริญเติบโตในครรภ์ที่ช้ากว่าปกติ และน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อยกว่าปกติ
ทารกที่เกิดจากมารดาที่ได้รับ PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานเป็นระยะเวลานานอาจจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้สูงกว่าเด็กปกติ นอกจากนี้หากได้รับนานต่อเนื่องอาจจะมีผลต่อการทำงานของสมองและพัฒนาการของเด็ก รวมถึงอาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในอนาคตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งปอด
ทั้งนี้เด็กอาจจะได้รับผลกระทบจาก PM 2.5 และมลภาวะในอากาศอื่นๆมากกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากเด็กมีอัตราการหายใจที่เร็วกว่าและเด็กมักจะใช้เวลาทำกิจกรรมกลางแจ้งมากกว่าผู้ใหญ่
นมแม่กับ PM 2.5 และมลภาวะอื่นๆ
มีรายงานการศึกษาที่พบว่าเด็กที่ได้ทานนมแม่จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ เช่นโรคหืด ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง และลดอัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสกับ PM 2.5 และมลภาวะอื่นๆ
การให้ลูกได้ทานนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนจะลดโอกาสในการเกิดโรคหืดและโรคภูมิแพ้ หรือโรคอื่นๆซึ่งเกี่ยวข้องกับการสัมผัสกับ PM 2.5 โดยมีรายงานการศึกษาที่พบว่าส่วนประกอบที่มีในนมแม่อาจมีส่วนในการช่วยลดการอักเสบในระบบต่างๆของร่างกาย โดยมี cytokine ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและมีส่วนประกอบของสาร ที่มีฤทธิ์ antioxidant
ข้อแนะนำการปฏิบัติตัวในช่วงที่มีปัญหา ค่า PM 2.5 สูงเกินมาตรฐาน
1. อยู่ในอาคารที่ปิดประตูหน้าต่าง เปิดเครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศ
2. งดการออกกำลังกายและการทำกิจกรรมต่างๆกลางแจ้ง
3. หากจำเป็นต้องเดินทางออกนอกบ้าน ก็ควรใส่หน้ากากชนิด N95 ชนิดที่สามารถป้องกัน PM 2.5 ได้โดยต้องสวมให้ถูกต้องอย่างกระชับกับรูปหน้า
4. ผู้ที่ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจหรือระบบหัวใจและหลอดเลือดควรพกยาฉุกเฉินประจำตัว ใช้ยาควบคุมอาการสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน
5. ติดตามค่า PM 2.5 และดัชนีคุณภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ เพื่อการเฝ้าระวัง อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อคุณแม่เข้าใจเรื่องฝุ่นPM2.5และข้อดีของนมแม่แล้ว เราก็จะมีความมั่นใจและมีความสุขในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกท่านนะคะ
เอกสารอ้างอิง
1. World Health Organization . Ambient Air Pollution: A Global Assessment of Exposure and Burden of Disease. WHO; Geneva, Switzerland: 2016. Available online: http://www.who.int/phe/publications/air-pollution-global-assessment/en/
2. World Health Organization: Ambient (outdoor) air quality and health, 2 May 2018.
3. Feng S, Gao D, Liao F, Zhou F, Wang X.The health effects of ambient PM2.5 and potential mechanisms. Ecotoxicol Environ Saf. 2016 Jun;128:67-74.
4. Monika A Z, Jadwiga H. Protective Effect of Breastfeeding on the Adverse Health Effects Induced by Air Pollution: Current Evidence and Possible Mechanisms.Int J Environ Res Public Health. 2019 Oct 29;16(21):4181.
5. Zhang C, Guo Y, Xiao X, Bloom MS, Qian Z, Rolling CA, Xian H, Lin S, Li S, Chen G., et al. Association of Breastfeeding and Air Pollution Exposure With Lung Function in Chinese Children. JAMA Netw. Open. 2019;2:e194186.
เรียบเรียงโดย : รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชฌรังษี
กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน
โรงพยาบาลพระรามเก้า