อาหารตามวัย หมายถึง อาหารอื่นที่ทารกได้รับเป็นมื้อนอกเหนือจากนมแม่หรือนมผสม เพื่อให้ทารกได้รับสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต ช่วยให้ทารกปรับตัวจากการกินอาหารเหลวเป้นอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลว และอาหารแบบผู้ใหญ่ เพื่อให้มีพัฒนาการในการกินที่เหมาะสม
ความสำคัญและประโยชน์ของการให้อาหารตามวัยสำหรับทารก
1. เพื่อให้สารอาหารแก่ทารกเพิ่มเติมจากนมแม่หรือนมผสมในกรณีที่ไม่สามารถให้ลูกกินนมแม่ได้
2. ช่วยพัฒนาหน้าที่เกี่ยวกับการเคี้ยว และกลืนอาหารซึ่งมิใช่ของเหลว
3. เสริมสร้างนิสัยและพฤติกรรมการกินที่ดีของเด็ก
ก่อนเริ่มให้อาหาร ทารกควรมีวัยที่เหมาะสม และมีความพร้อมของระบบต่าง ๆ คือ ระบบทางเดินอาหาร ไต ระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่พัฒนาจนสามารถทำหน้าที่พร้อมแล้ว เมื่อพิจารณาความพร้อมของระบบต่าง ๆ แล้ว จึงแนะนำให้เริ่มอาหารตามวัยสำหรับทารก
1. ความพร้อมของระบบทางเดินอาหาร คือทารกสามารถใช้ลิ้นตวัดอาหารลงสู่ลําคอ และกลืนอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลวได้และกระเพาะอาหารสามารถหลั่งกรดและน้ำย่อย pepsin (เปปซิน) ตับอ่อนหลั่งน้ำย่อย amylase และ lipase
2. ความพร้อมของไต ไตสามารถขับถ่ายของเสียทำให้ปัสสาวะเข้มข้นได้มากพอ เพื่อให้สามารถขับถ่าย renal solute load ได้แก่ ยูเรียและโซเดียวได้ดี
3. ความพร้อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทารกมีความพร้อมในการกินอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลว สามารถควบคุมการทรงตัวของศีรษะและลำตัวได้ดี เริ่มใช้มือคว้าของเข้าปากได้ extrusion reflex ของลิ้นลดลง (การห่อปากเอาลิ้นดุนอาหารออกมา)
การเลือกอาหาร
อาหารที่ให้ทารกอายุ 6 เดือนควรมีสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุ และวิตามิน ปริมาณเพียงพอ ซึ่งได้จากการกินอาหารที่หลากหลาย ได้แก่ ข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว น้ำมัน ผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน เนื้อค่อนข้างละเอียด โดยใช้วิธีการบด เพื่อให้กลืนได้ ง่าย ไม่ควรให้อาหารปั่นเพราะทารกจะไม่ได้ ฝึกทักษะการเคี้ยวและกลืน เมื่อทารกสามารถเคี้ยวและกลืนอาหารได้ดีจึงค่อยเพิ่มความหยาบของอาหาร ไม่จำเป็นต้องบดละเอียดมาก เช่น ข้าวต้มที่มีเนื้อสัตว์ชิ้นเล็ก ๆ เพื่อให้ทารกมีความคุ้นเคยกับอาหารที่ เป็นชิ้นเล็ก ๆ
วิธีการให้อาหารตามวัยสำหรับทารกที่เหมาะสม
1. ป้อนอาหารทารกด้วยความนุ่มนวล และคอยช่วยเหลือทารกที่โตพอจะกินได้เองแล้วให้กินอาหารได้อย่างปลอดภัยจากการสำลัก ควรไวต่อการรับรู้สัญญาณที่แสดงถึงความหิวและความอิ่มของทารก
2. คอยกระตุ้นให้ทารกกินอาหาร แต่ไม่ควรบังคับหรือป้อนนานเกินไป แต่ละมื้อควรใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที และไม่ควรนานเกิน 30 นาที
3. ถ้าทารกปฏิเสธการให้อาหารบางอย่าง ให้ทดลองเปลี่ยนวิธีการปรุงอาหาร โดยนำอาหารหลายชนิดมาผสมกันเพื่อให้ได้ความหยาบละเอียดและรสชาติตามที่ทารกต้องการ
4. ขณะที่ทารกกินอาหาร ควรลดสิ่งล่อใจที่ทำให้ทารกหันไปสนใจมากกว่าอาหารที่กำลังกินอยู่ เช่น ไม่ควรให้ดูโทรทัศน์หรือเดินป้อนอาหาร ควรฝึกให้นั่งกินอาหารที่โต๊ะอาหาร
5. ผู้ป้อนอาหารควรเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทารก ควรสบตาและพูดคุยกับทารกตลอดเวลาที่ป้อนอาหาร เพราะการให้อาหารเป็นอีกวิธีหนึ่งในการกระตุ้นการเรียนรู้ การให้ความรัก และการเชื่อมความสัมพันธ์
อาหารแนะนำเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน
อาหารที่มีเหล็กสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ เลือด ไข่แดง
อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ อาหารทะเล
อาหารที่มีแคลเซียมสูงได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม เต้าหู้ ผักใบเขียว
อาหารที่มีวิตามินเอสูงได้แก่ ตับ ไข่แดง นม ผักและผลไม้สีเหลืองส้ม เช่น ฟักทอง แครอท มะละกอสุก เป็นต้น