การเลือกวิธีคุมกำเนิดในช่วงให้นมนั้น คุณแม่จำเป็นต้องศึกษาข้อดี ข้อเสีย เพื่อให้เลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการคุมกำเนิดที่จะไม่กระทบการให้นมลูกนั้นมีดังนี้
1. การให้นมลูกอย่างเดียว
การให้นมแม่เพียงอย่างเดียว เป็นการคุมกำเนิดตามธรรมชาติ ซึ่งมีประสิทธิภาพในช่วง 6 เดือนแรกเท่านั้น แต่แม่ต้องไม่เสริมนมผสม น้ำ หรืออาหารอื่นๆ เลย และต้องให้ลูกดูดนมจากเต้าบ่อยๆ โดยห่างกันไม่เกิน 6 ชั่วโมง และต้องให้ในช่วงกลางคืนด้วย เพราะการดูดนมเป็นการกระตุ้น การหลั่งฮอร์โมนโปรแลกติน ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ได้ดี จากรายงานการวิจัยถึงประสิทธิภาพของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กับผลในการคุมกำเนิด ก็พบว่าแม่ที่ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว ในหกเดือนแรก จะทำให้ยับยั้งการตกไข่ได้สูงถึง 98% ซึ่งเทียบเท่ากับการคุมกำเนิดแบบวิธีอื่น
หากต้องการใช้การคุมกำเนิดแบบอื่นเสริมหลังจากแม่เริ่มมีประจำเดือน (รังไขเริ่มทำงาน และอาจมีไข่ตก)
อาจใช้วิธีการคุมกำเนิดดังต่อไปนี้
2. การใช้ยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิดแบบเม็ดมี 2 ชนิด คือ
· โปรเจสเตอโรนอย่างเดียว
เหมาะสำหรับการใช้ใน 6 เดือนแรก เพราะไม่มีฤทธิ์กดการหลั่งน้ำนม และไม่ทำให้คุณภาพของน้ำนมเปลี่ยนแปลง แต่มีข้อควรระวัง คือ ยาตัวนี้ออกฤทธิ์ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว ทำให้เชื้ออสุจิว่ายเข้าไปในโพรงมดลูกไม่ได้ ไม่กดการตกไข่ จึงต้องกินยาทุกวันและตรงเวลา หากผิดเวลาเกิน 3 ชั่วโมงอาจต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นๆ ช่วย
· ฮอร์โมนรวม (เอสโตรเจน + โปรเจสเตอโรน)
ควรเริ่มใช้ยาชนิดนี้ เมื่อน้ำนมแม่สร้างเต็มที่แล้ว คือ หลังคลอด 6 สัปดาห์ แต่ในคุณแม่บางรายอาจทำให้การสร้างน้ำนมลด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนวิธีการคุมกำเนิด หากจะป้องกันการรบกวนกระบวนการสร้างน้ำนม ควรใช้ยาเมื่อผ่าน 6 เดือนแรกไปแล้ว
ส่วนยาคุมแบบฉีด และแบบฝัง (โปรเจสเตอโรนอย่างเดียว) เริ่มใช้ได้ตั้งแต่ 4-6 สัปดาห์หลังคลอด โดยแบบฉีด จะคุมได้ 12 สัปดาห์ และแบบฝัง จะคุมได้ 3 ปี มีฤทธิ์กดการตกไข่ มีผลคุมกำเนิดได้ดีกว่าแบบกิน
โปรเจสเตอโรนอย่างเดียว
3. การใช้ห่วงคุมกำเนิด
การทำงานของห่วงคุมกำเนิดนี้จะไปช่วยขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน และทำลายตัวอสุจิในโพรงมดลูก ซึ่งในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดนานถึง 6 ปี
4. การทำหมัน
เป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบถาวร และได้ผลมากที่สุด อีกทั้งสามารถทำได้ง่าย ปลอดภัย และมีภาวะแทรกซ้อนน้อย
5. ถุงยางอนามัย
เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่นิยมใช้มากที่สุด และสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูงถึง 98% หากใช้อย่างถูกต้อง กล่าวคือ ต้องใช้ขนาดที่ถูกต้องเหมาะสม ตรวจสอบเสมอว่าไม่มีรอยฉีกขาดหรือรั่ว และต้องระมัดระวังไม่ให้ถุงยางอนามัยหลุด อีกทั้งไม่ควรใช้ซ้ำเด็ดขาด